วันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2559

             มัสยิดวาดีอัลฮุสเซ็น คนทั่วไปรู้จักในนามมัสยิด ๓๐๐ ปี เป็นมัสยิดที่กรมศิลปากรขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาบูโด หมู่บ้านตะโละมาเนาะ ตำบลลุโบะสาวอ อำเภอบาเจาะ ห่างจากจังหวัดนราธิวาสบนถนนสาย ๔๒ นราธิวาส–ปัตตานี ระยะทาง ๒๔ กิโลเมตร เป็นมัสยิดที่เก่าแก่สร้างด้วยไม้ตะเคียน ใช้สลักไม้แทนตะปูยึดตัวอาคารทั้งหลัง สร้างขึ้นในสมัยเดียวกันกับมัสยิดกรือเซะ จังหวัดปัตตานี หากแต่มีรูปร่างที่แตกต่างกัน โดยมัสยิดกรือเซะได้รับอิทธิพลด้านสถาปัตยกรรมจากตะวันออกกลาง ส่วนมัสยิดตะโละมาเนาะ สร้างขึ้นจากการผสมผสานของสถาปัตยกรรมท้องถิ่น
         ลักษณะที่โดดเด่นคือ เป็นมัสยิดที่มีลักษณะรูปร่างคล้ายกับวัดทางพุทธศาสนา ตัวอาคารเป็นเรือน                สองขนาดเชื่อมต่อกัน มีหลังคาสองชั้น อาคารหลังเล็กยื่นไปทางทิศตะวันตกมีหลังคาเป็นทรงปั้นหยาทั้งสองชั้นมีเก๋งจีนตั้งอยู่บนมุมหลังคาที่ด้านหน้า ส่วนอาคารหลังใหญ่มีหลังคาทรงหน้าจั่วปลายแหลมคล้ายหลังคาโบสถ์ ตั้งอยู่ด้านบนของหลังคาทรงปั้นหยาที่รองรับอยู่ด้านล่าง เมื่อมองจากที่ไกลจะเห็นภาพหลังคาโบสถ์ตั้งเด่นบนฐานเหมือนพานรองรับ โดยมีเก๋งจีนอยู่เคียงข้าง ทำให้ดูสวยงามอลังการอย่างไม่มีที่ใดเหมือน แตกต่างกับมัสยิดที่พบเห็นโดยทั่วไป 
         มัสยิดหลังนี้จึงเห็นได้ชัดถึงการผสมผสานระหว่างศิลปะแบบไทย จีน มลายู โดยส่วนที่เป็นหลังคาหน้าจั่วคล้ายกับโบสถ์ เป็นศิลปะแบบไทยที่นิยมสร้างในพื้นที่ภาคกลาง ส่วนหอสี่เหลี่ยมที่คล้ายกับเก๋งจีนซึ่งมีหน้าต่างทั้ง ๔ ด้าน เป็นศิลปะแบบจีน นิยมสร้างเป็นศาลาสามารถพบเห็นตามที่สาธารณะหรือสุสานของชาวจีน สำหรับเป็นที่ตะโกนบอกเมื่อถึงเวลาละหมาดหรือเสียงอาซาน ซึ่งต้องตั้งอยู่ในที่สูงเพื่อให้เสียงกระจายออกไปไกล ส่วนอาคารทรงปั้นหยาที่ตั้งเป็นฐานรองรับที่ด้านล่างเป็นรูปแบบของศิลปะแบบมลายูในภาคใต้ตอนล่าง  
         นอกจากความสวยงามที่เกิดจากการผสมผสานของศิลปะทั้งสามลักษณะดังกล่าวแล้ว  ขนาดของหลังคารูปแบบต่างๆ มีขนาดสัดส่วนที่สื่อความหมายกับจำนวนประชากรเชื้อสายต่างๆ กล่าวคือ หลังคาทรงปั้นหยาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดหมายถึงชาวมลายูที่มีจำนวนมากเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาเป็นชาวไทยพุทธซึ่งสอดคล้องกับขนาดของหลังคาโบสถ์ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าทรงปั้นหยา ส่วนเก๋งจีนที่มีขนาดเล็กที่สุดหมายถึง ชาวไทยเชื้อสายจีนซึ่งมีจำนวนน้อยที่สุด นับเป็นความมหัศจรรย์ซึ่งไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นความบังเอิญหรือเจตนาของผู้ก่อสร้างในยุคนั้น   
          ไม่เพียงแต่ความอัศจรรย์จากสิ่งที่ได้กล่าวแล้ว ส่วนประกอบอื่นๆ ที่เป็นงานจิตรกรรมการแกะสลักประดับรอบอาคาร  ก็มีความแตกต่างเช่นเดียวกัน  เริ่มตั้งแต่จันทัน ที่ห้อยเรียงรายใต้ชายคา บางอันแกะสลักเป็น                     ดอกบัวบาน ดอกนมแมว มากมายหลากหลายรูปแบบ ส่วนช่องลมที่ทำด้วยไม้กระดานตั้งระหว่างฝากับเพดาน มีการแกะสลักและฉลุเป็นลวดลายต่างๆ เช่น ลวดลายที่โค้งมนอ่อนช้อยเหมือนลายกนกแบบลายไทย บ้างเป็นลวดลายเส้นตรงตัดเป็นช่องเล็ก ๆ อย่างละเอียดเป็นระเบียบแบบที่ชาวจีนนิยมใช้ อีกทั้งลายเถาว์ที่คล้ายไม้เลื้อยซึ่งเป็นที่นิยมของชาวมลายูในภาคใต้ วางสลับอยู่รายรอบอาคารทั้งสี่ด้าน เป็นสิ่งที่ตอกย้ำความลงตัวและงดงามจากจากความหลากหลายที่คนส่วนใหญ่มองข้าม   
          มัสยิด ๓๐๐ ปี ปัจจุบันยังใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนา เป็นศูนย์กลางของชุมชน และเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ สำหรับต้อนรับการมาเยือนของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศโดยเฉพาะชาวอาเซียนที่มีวัฒนธรรมคล้ายคลึงกัน
         นอกจากเป็นโบราณสถานที่ทรงคุณค่าแล้ว  มัสยิด ๓๐๐ ปี ยังเป็นเสมือนปริศนาที่จะสื่อมายังอนุชนคนรุ่นหลังให้รับรู้ว่า ความงดงามย่อมเกิดขึ้นได้จากการรู้จักใช้ศิลปะผสมผสานระหว่างความหลากหลาย การรู้จักคุณค่าและเคารพในสิ่งที่แตกต่าง ซึ่งถือเป็นปรัชญาการดำเนินชีวิตในสังคมพหุวัฒนธรรมที่จะนำไปสู่ความสันติสุขชั่วกาลนาน      

 

 

วันพุธที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2559

ฮัจญ์...ปลายทางศรัทธาในวิถีมุสลิม

ที่มา นสพ.มติชน ฉบับวันที่ 9 ก.ย.59
โดย ศูนย์ประชาสัมพันธ์ กอ.รมน.ภาค 4 สน.

ไม่มีการเดินทางครั้งใดในชีวิตมุสลิมที่จะยิ่งใหญ่เท่ากับการเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ ณ นครเมกกะ ประเทศซาอุดิอาระเบีย การปฏิบัติข้อสุดท้ายตามบทบัญญัติศาสนาอิสลาม เปรียบประดุจการเดินทางไปยังบ้านของพระเจ้า ภารกิจอันทรงเกียรติที่มุสลิมทั้งหลายต่างมุ่งมั่นและรอคอย เมื่อถึงเวลาดังกล่าวมุสลิมทุกเผ่าพันธุ์ ทุกเชื้อชาติจากทุกสารทิศจะหลั่งไหลไปรวมตัวเพื่อร่วมทำพิธีจำนวนนับล้านในแต่ละปี  
พิธีฮัจญ์ ถูกกำหนดให้มีมานับตั้งแต่อดีต ซึ่งเป็น ๑ ใน ๕ ตามบทบัญญัติของศาสนาอิสลาม ในอดีตการเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ เป็นไปด้วยความยากลำบาก ต้องเดินทางด้วยเรือเดินทะเล ใช้ระยะเวลายาวนานเป็นแรมเดือน อีกทั้งยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงต่อเภทภัยในรูปแบบต่างๆ บางรายประสบปัญหาเจ็บป่วยและเสียชีวิตระหว่างการเดินทาง ทำให้การเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ในสมัยนั้น อาจหมายถึงการเดินทางครั้งสุดท้ายในชีวิต จึงทำให้ญาติมิตรต่างรู้สึกอาลัยอาวรณ์ และมีการกล่าวอโหสิกรรมให้กันและกัน เสมือนเป็นประเพณีแห่งการร่ำลาที่สืบทอดมาจนปัจจุบัน                              
ปัจจุบันการเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ส่วนใหญ่ใช้เครื่องบินโดยสารเป็นยานพาหนะ มีความสะดวกและรวดเร็ว มากขึ้น สำหรับในประเทศไทยมีเส้นทางการบินหลายเส้นทาง เช่น จากสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิสำหรับผู้ที่อยู่ในภาคกลางและภาคอื่นๆ สนามบินนานาชาติหาดใหญ่ สนามบินภูเก็ต สนามบินนครศรีธรรมราช สำหรับผู้ที่อยู่ในพื้นที่ภาคใต้ และสนามบินจังหวัดนราธิวาส สำหรับผู้ที่อยู่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ การประกอบพิธีฮัจญ์ในปัจจุบัน มีผู้ประกอบกิจการคอยอำนวยความสะดวกในด้านต่างๆ เริ่มตั้งแต่การติดต่อกับส่วนราชการในการออกหนังสือเดินทาง การจัดการเรื่องเครื่องบินเดินทาง อาหารและที่พัก และอื่นๆ ทั้งนี้เป็นไปตามนโยบายการส่งเสริมกิจการฮัจญ์ของรัฐบาล ที่ได้มีการตราพระราชบัญญัติส่งเสริมกิจการฮัจญ์ขึ้น โดยกำหนดให้มี คณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจญ์แห่งประเทศไทยมีหน้าที่ออกระเบียบ ข้อบังคับ ว่าด้วยการส่งเสริมกิจการฮัจญ์ เพื่ออำนวยความสะดวก รวมทั้งมีหลักประกันในความปลอดภัยให้กับผู้ไปประกอบพิธี พร้อมทั้งแต่งตั้งอะมีรุ้ลฮัจญ์หัวหน้าคณะผู้แทนฮัจญ์อย่างเป็นทางการของประเทศไทยเพื่อประสานงานกับทางประเทศซาอุดิอาระเบีย เพื่อให้การดำเนินการต่างๆ เป็นไปด้วยความเรียบร้อยสามารถประกอบพิธีได้อย่างสมบูรณ์ครบถ้วนทุกขั้นตอนตามที่เรียกกันว่าฮัจญ์มับรูจที่บรรดาผู้แสวงบุญทั้งหลายต้องการ
พิธีฮัจญ์ จะมีขึ้นในวันที่ ๘  เดือนซุลฮิจยะห์ เดือนสุดท้ายของปีฮิจเราะฮ์ศักราช ประกอบด้วยขั้นตอนการปฏิบัติ ต่างๆ เริ่มต้นจากผู้ประกอบพิธีที่ไปรวมตัวที่นครเมกกะ และเข้าสู่การครองอิหฺรอมด้วยการแต่งกายด้วยผ้าขาว ตั้งเจตนาที่จะปฏิบัติเพื่อพระเจ้า หลังจากนั้นจะออกเดินทางไปยังทุ่งมีนาพักแรม ๑ คืน เช้าตรู่ออกเดินทางสู่ทุ่งอะระฟะฮฺ ซึ่งจะถึงประมาณเวลาบ่ายก็จะทำวูกูฟ หรือขอพรต่อพระเจ้าไปจนถึงค่ำ หลังจากนั้นจะออกเดินทาง  ในเวลากลางคืนไปยังทุ่ง มุซตะลิฟะฮฺ พักค้างแรมอีก ๑ คืน พอรุ่งขึ้นตรงกับวันที่ ๑๐ จะเป็นวันรายอวันอีดิลอัฎฮา ส่วนผู้ที่ไม่ไปร่วมพิธีฮัจญ์จะทำกุรบานและละหมาดในมัสยิด ผู้ที่เข้าร่วมพิธีจะทำการโกนผมเปลื้องเครื่องแต่งกายจากชุด อิหรอมเป็นชุดปกติ เดินทางกลับมายังทุ่งมีนาอีกครั้งหนึ่งเพื่อทำพิธีขว้างเสาหินจำนวน ๓ ต้น ในเวลา ๓ วัน หลังจากนั้นจะออกจากทุ่งมีนามุ่งสู่สถานที่สำคัญคือมัสยิดอัลฮารอม ศูนย์กลางศาสนาอิสลามเพื่อเวียนรอบกะบะห์หรือหินดำจำนวน ๗ รอบ และเดินไปมาระหว่างเขา ๒ ลูกคือ เขาซอฟาและเขามัรวะฮฺ ครบ ๗ เที่ยว จึงจะกลับเข้าเวียนรอบหินดำอีกครั้งเป็นครั้งสุดท้าย เป็นอันเสร็จสิ้นพิธี
                        
สำหรับพิธีฮัจญ์ปีนี้ตรงกับวันที่ ๑๐ เดือนกันยายน พ.ศ.๒๕๕๙ ผู้ที่เดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ส่วนใหญ่เริ่มทยอยเดินทางไปล่วงหน้าตั้งแต่เดือนสิงหาคม ทั้งนี้เพื่อเยี่ยมเยือนสถานที่สำคัญๆ ทางศาสนา เช่น มัสยิดกุบาอ์ มัสยิดแรกที่ศาสดามูฮัมหมัดสร้างขึ้นในครั้งที่อพยพมาที่มาดีนะห์ ภูเขาอูฮูด สมรภูมิสงครามครั้งประวัติศาสตร์ที่ทำให้มุสลิมต้องสูญเสียนักรบชะฮีดมากที่สุด และมัสยิดนะบะวีย์ หรือมัสยิดนบีเพื่อเยี่ยมกุโบร์ของศาสดา ซึ่งทั้งหมดเป็นกิจกรรมเสริมการประกอบพิธีฮัจญ์ให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น  
ซึ่งปีนี้ทางรัฐบาลโดยศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ร่วมกับบริษัทการบินไทย ได้จัดเที่ยวบินปฐมฤกษ์ให้กับผู้เดินทางจากจังหวัดชายแดนภาคใต้  ที่บินตรงจากท่าอากาศยานนราธิวาส ไปยังท่าอากาศยานมาดีนะด์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย เมื่อวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๕๙  โดยมีนายภาณุ  อุทัยรัตน์ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นประธาน พร้อมด้วยนายสิทธิชัย  ศักดา ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส หัวหน้าส่วนราชการ รวมทั้งญาติพี่น้องผู้แสวงบุญและประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมพิธีส่งและขอดุอาร์อำนวยพรให้กับผู้เดินทางอย่างสมเกียรติ สำหรับปีนี้บริษัทการบินไทยได้จัดเที่ยวบินพิเศษ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้จำนวน ๔ เที่ยวบิน มีผู้โดยสารรวม ๑,๑๔๗ คน ให้บริการระหว่างวันที่ ๔๕ สิงหาคม ๒๕๕๙ ต่อเนื่องเป็นปีที่ ๔ นับตั้งแต่ปี ๒๕๕๖ เป็นต้นมา ซึ่งปีนี้มีผู้เดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์จากประเทศไทยรวมทั้งสิ้น ๙,๖๐๒ คน จากจำนวนผู้เข้าร่วมพิธีทั้งสิ้นกว่า ๓ ล้านคน จากทั่วโลก
                        
การประกอบพิธีฮัจญ์เป็นการปฏิบัติประการสุดท้ายตามบทบัญญัติ ๕ ประการของศาสนาอิสลาม ที่มุสลิมทุกเผ่าพันธุ์ ทุกเชื้อชาติต่างรอคอยโอกาส และด้วยศรัทธาอันแรงกล้าที่จะเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ ทำให้มุสลิมจำนวนมากพยายามสะสมเงินตราที่หาได้มาเกือบตลอดชีวิต เพื่อให้ได้ไปปฏิบัติครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ตามมีมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยส่วนหนึ่ง ที่ได้รับการส่งเสริมจากรัฐบาลให้ได้รับโอกาสเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์โดยใช้งบประมาณจากโครงการของรัฐบาล ทั้งนี้เพื่อเป็นการตอบแทนคุณงามความดีที่ทำคุณประโยชน์ต่อสังคม ซึ่งส่วนราชการ โดยกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค ๔ ส่วนหน้า และศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้  เป็นผู้คัดสรร ซึ่งได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน