ที่มา นสพ.ข่าวสด ฉบับวันที่ ๒๙ มิ.ย.๕๙
โดย ศูนย์ประชาสัมพันธ๋ กอ.รมน.ภาค ๔ สน.
“สลามัตฮารีรายอ”เป็นคำอวยพรแสดงความยินดีของผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม
ในโอกาสวันสำคัญทางศาสนา ๒ วัน คือ วันรายออีฎิ้ลฟิตริ วันฉลองการสิ้นสุดการถือศีลอดในเดือนรอมฎอน
และวันรายออีฎิ้ลอัดฮา เป็นการฉลองวันออกฮัจญ์ของผู้แสวงบุญ ที่นครเมกกะ ในวันดังกล่าวผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม
จะไปรวมตัวทำพิธีละหมาดที่มัสยิด ฟังคุตบะห์ และขอพรจากอัลลอฮฺเพื่อเป็นศิริมงคล
ตลอดจนการแสดงความยินดีซึ่งกันและกัน มีการเลี้ยงอาหาร
และเดินทางไปเยี่ยมญาติพี่น้อง วันรายอ นอกจากจะเป็นวันสำคัญทางศาสนาแล้วยังเป็นเทศกาลแห่งความสุขด้วย ในวันดังกล่าวเราจะได้ยินคำอวยพรว่า“สมามัติฮารีรายอ
มาอัฟศอเฮร ดันบาเฏน” ซึ่งมีความหมายว่า“ขอให้มีความสุขเนื่องในวันรายอ
และขออภัยในความผิดทั้งต่อหน้าและลับหลัง”
วันรายออิฎิ้ลฟิตริ
ตรงกับวันที่ ๑ เดือนเซาวาล เป็นเดือนที่ ๑๐ ต่อจากเดือนรอมฎอน ปีฮิจเราะห์ศักราช นับทางจันทรคติโดยการสังเกตการปรากฏขึ้นของดวงจันทร์ทางทิศตะวันตกตอนพระอาทิตย์ตกดิน
เมื่อเห็นดวงจันทร์ลักษณะเสี้ยวขึ้น ๑ ค่ำ เป็นสัญญาณของการเริ่มต้นเดือนใหม่ ชาวมุสลิมจะยุติการถือศีลอดและเข้าสู่วันอิฎิ้ลฟิตริ ด้วยการสรรเสริญพระเจ้าทั้งที่บ้านและมัสยิดตั้งแต่ตอนกลางคืน
และจะรีบทำการบริจาคทานฟิตเราะห์ ให้เสร็จสิ้นก่อนการละหมาดในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น เป็นการปฏิบัติที่ต่อเนื่องจากการถือศีลอด
อันเป็นที่มาและความสำคัญของ
วันรายออิฎิ้ลฟิตริ หรือวันรายอฟิตเราะห์นั่นเอง
การปฏิบัติในวันดังกล่าว
มุสลิมจะตื่นนอนตั้งแต่เช้าตรู่ ทำความสะอาดตกแต่งบ้านให้สวยงาม ตลอดจนทำความสะอาดร่างกายพร้อมกับอาบน้ำสุนัตกล่าวดุอาร์ขอพรในขณะอาบน้ำ
หลังจากนั้นจะแต่งตัวด้วยเครื่องแต่งกายที่ใหม่และสะอาด เดินทางไปยังมัสยิดเพื่อร่วมละหมาด
ในระหว่างรอการละหมาดจะมีการกล่าวซิเกร์สรรเสริญอัลลอฮฺ อยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งอิหม่ามเริ่มดำเนินการนำการละหมาด
ซึ่งจะเริ่มขึ้นในเวลาประมาณ ๘.๓๐ น. ขณะละหมาดทุกคนจะสำรวมจิตใจแน่วแน่มุ่งตรงต่ออัลลอฮฺ
เมื่อละหมาดครบ ๒ รอบ และให้สลาม อิหม่ามจะอ่านคุตบะห์ นำคำสอนการปฏิบัติ ในการดำเนินชีวิต
ย้ำเตือนการทำความดีละเว้นความชั่ว ประพฤติปฏิบัติอยู่ในแนวทางของศาสนา ผู้ฟังจะอยู่ในอาการสำรวม
สงบนิ่ง และเมื่ออ่านคุตบะห์จบจะขอพรจากอัลลอฮฺ เพื่อความเป็นสิริมงคล เป็นอันเสร็จพิธี ทุกคนจะลุกขึ้นแสดงความยินดีและขออภัยในความผิดที่มีต่อกัน
เกิดบรรยากาศที่อบอวลด้วยความสุข ความอบอุ่น อวยพรและมอบความสุขให้แก่กัน บรรดาลูกๆ จะขออภัยต่อพ่อแม่
แสดงออกด้วยการสวมกอด การจูบมือ การหอมแก้ม ลูกหลานที่อยู่ต่างภูมิลำเนาจะกลับมาเยี่ยมบ้าน
เป็นวันแห่งความสุขที่เกิดขึ้นหลังจากมุ่งมั่นทำความดีในเดือน รอมฎอน ตลอดทั้งเดือน
สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ
แต่ละบ้านจะมีการเตรียมอาหาร ขนมคาวหวาน สำหรับเลี้ยงญาติพี่น้อง
เพื่อนฝูงที่มาเยี่ยมเยือน และใช้สำหรับนำไปเป็นของฝากเมื่อไปเยี่ยมผู้อื่น นอกจากขนมคาวหวานแล้ว
ชาวมุสลิมที่อยู่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ส่วนใหญ่ยังนิยมทำ“ตูปะ”(ขนมต้ม) พร้อมกับแกงเนื้อเป็นของคู่กันประจำเทศกาล
ไว้ต้อนรับและมอบเป็นของฝากกันและกัน ถือเป็นวัฒนธรรมประเพณีที่ปฏิบัติมาจนปัจจุบัน
ส่วนวันรายออีฎิ้ลอัดฮา
เป็นวันแห่งการเฉลิมฉลองการประกอบพิธีฮัจญ์ ตรงกับวันที่ ๑๐ เดือนซุลฮิจยะญ์ ตรงกับห้วงที่ผู้แสวงบุญกำลังประกอบพิธี ณ
นครเมกกะ ประเทศซาอุดิอารเบีย มุสลิมที่อื่นๆ ทั่วโลกที่ไม่ได้ร่วมพิธีดังกล่าวจะทำพิธีละหมาดอีฎิ้ลอัดฮาที่มัสยิด
เช่นเดียวกับละหมาดอีฎิ้ลฟิตริ มีการอ่านคุตบะห์ สำหรับคุตบะห์วันรายอ อีฎิ้ลอัดฮา
จะนำเรื่องการกุรบานครั้งยิ่งใหญ่ในอิสลามซึ่งเกิดขึ้นกับศาสดาอิบราเฮมที่มีความภักดีต่ออัลลอฮฺ
ถึงขนาดยินยอมจะสละชีพบุตรชาย
คืออิสมาแอล เพื่ออัลลอฮฺ ให้มุสลิมได้ระลึกถึง และตระหนักถึงความศรัทธาและเสียสละอันยิ่งใหญ่
รวมทั้งเรื่องอื่นๆ ที่ควรรับรู้ ซึ่งปัจจุบันบางแห่งมีการจัดละหมาดกลางแจ้งเพื่อรองรับผู้ละหมาดจำนวนมาก
อีกทั้งเป็นการละหมาดเพื่ออ่านคุตบะห์ในเรื่องเกี่ยวกับความเป็นไปในสังคมที่ส่งผลกระทบต่อสังคมมุสลิมให้ได้รับรู้
เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติที่ถูกต้องและเหมาะสม เสร็จสิ้นการละหมาดก็จะรีบทำการกุรบานเชือดสัตว์แจกจ่ายเป็นทานแก่ผู้ยากไร้
ส่วนใหญ่นิยมนำมาประกอบอาหารเลี้ยงคนหมู่บ้านหรือในละแวกเดียวกัน
นอกจากวันรายออีฎิ้ลฟิตริ
และวันรายออีฎิ้ลอัดฮา ตามหลักศาสนาแล้ว ในบางพื้นที่ของจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังมีการปฏิบัติที่เรียกว่าวันรายออีกครั้ง
โดยจะปฏิบัติในวันที่ ๘ เดือนเซาวาล หลังวันรายอฟิตเราะห์ เรียกว่า “รายอแน” หมายถึงรายอ
๖ ซึ่งไม่กำหนดในศาสนาและไม่มีการละหมาด แต่เนื่องจากในห้วง ๖ วันดังกล่าวผู้ที่ขาดการถือศีลอดจะถือศีลอดชดเชย
อีกทั้งเป็นการถือศีลอดสุนัต เมื่อครบกำหนดจะถือโอกาสเป็นวันรายออีกครั้ง ด้วยการทำอาหาร รวมทั้งตูปะ
ไปทำกิจกรรมที่กุโบร์ (สุสาน) ร่วมพัฒนาทำความสะอาด เลี้ยงอาหารและร่วมดุอาร์ขอพรให้กับผู้ล่วงลับ
เป็นการปฏิบัติที่แสดงความกตัญญูรู้คุณต่อบรรพบุรุษ ซึ่งมีที่มาจากความเชื่อเมื่อครั้งอดีตและยังคงปฏิบัติในบางแห่งในปัจจุบัน
แม้ว่าวันรายอจะถูกกล่าวว่าเป็นวันแห่งการเฉลิมฉลองในวันออกบวช
หรือออกจากพิธีฮัจญ์ แต่ศาสนาอิสลามไม่ได้ส่งเสริมให้มีการจัดกิจกรรมกันอย่างสนุกสนานจนลืมตัว
หากแต่ให้ปฏิบัติในขอบเขตของศาสนา และแบบอย่างของศาสดา มีความสำรวม
ระลึกถึงอัลลอฮฺ ทำความดี มีความเมตตา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนมนุษย์โดยไม่แบ่งเชื้อชาติ
เพราะอิสลามถือว่าทุกเชื้อชาติล้วนเป็นประชาชาติเดียวกัน