โดย ศูนย์ประชาสัมพันธ์ กอ.รมน.ภาค ๔ สน.
การถือศีลอดในเดือนรอมฏอน เป็น ๑ ในหลักปฏิบัติของศาสนาอิสลาม
ซึ่งการปฏิบัติที่สำคัญคือ การงดเว้นจากการรับประทานอาหาร ดื่มน้ำ และการเสพสิ่งต่างๆ
ในเวลากลางวัน หลีกเลี่ยงการกระทำที่ขัดกับจริยธรรมอันดีงาม มีความอดทนอดกลั้นต่ออารมณ์ความรู้สึกอันไม่พึงประสงค์
มุ่งมั่นทำความดีช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ สำรวมตนสรรเสริญพระเจ้า สำนึกในความเมตตาที่ให้โอกาสได้พบกับเดือนรอมฎอนอีกครั้ง
เพื่อตักตวงทำความดีที่จะได้รับผลบุญเป็นทวีคูณ ซึ่งผู้ที่นับถึงศาสนาอิสลามจะกระทำกิจกรรมต่างๆ
เช่น อ่านคัมภีร์อัลกุรอาน ละหมาดตะรอเวี๊ยะห์ และเอี๊ยะติกัฟใน ๑๐ วันสุดท้าย กระทั่งสิ้นเดือนรอมฎอน
จะร่วมละหมาดซูนัต วันอีฎิ้ลฟิตริ ในเช้าตรู่วันต่อมา
การละหมาดตะรอเวี๊ยะห์ เป็นการละหมาดเสริม
(สุนัต) เพิ่มผลบุญที่มีเฉพาะในเดือนรอมฎอน เป็นการละหมาดที่มีจำนวนหลายรอบและใช้เวลานาน
เนื่องจากมีการอ่านคัมภีร์อัลกุรอาน ในแต่ละรอบของการละหมาด มัสยิดแต่ละแห่งจะนำผู้ที่มีความสามารถด้านการอ่านและจำบทในอัลกุรอานตลอดทั้งเล่ม
มาอ่านอย่างถูกต้อง ไพเราะราวบทกวีที่นิพนธ์โดยพระเจ้า ซึ่งนอกจากได้รับผลบุญจากการฟังแล้ว
ยังทำผู้ฟังให้ตระหนักถึงความยิ่งใหญ่ของอัลกุรอานที่กล่าวถึงเรื่องราวทั้งในจักรวาล
อดีต อนาคต รวมทั้งศาสตร์ต่างๆ ประทานลงมาผ่านศาสดามูฮัมหมัด ผู้ที่ไม่เคยรับการศึกษาได้อย่างน่าอัศจรรย์
นำมาซึ่งความเลื่อมใสศรัทธาให้กับมุสลิมมากยิ่งขึ้น
ส่วนการเอี๊ยะติกัฟ ใน ๑๐ คืนสุดท้าย
เป็นการเข้าพำนักพักอาศัยในมัสยิด ปลีกตัวจากภารกิจทางโลกทั้งปวง เก็บตัวแสวงหาความสงบในจิตใจ
ทบทวนสิ่งต่างๆ ในชีวิต เพื่อนำสู่การปรับปรุงและแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาด พร้อมกับการอภัยโทษในเดือนแห่งความเมตตา
อาจกล่าวได้ว่าการถือศีลอดและการเอี๊ยะติกัฟ คือการชำระบาป ล้างสิ่งโสมมออกจากร่างกายและจิตใจ
พร้อมกับการรับผลบุญอันมหาศาลในคืนลัยละตุลก็อดร์ที่จะมีขึ้นใน ๑๐ คืนสุดท้าย ซึ่งมุสลิมทั้งหลายต่างเฝ้าคอย
สำหรับใน ๓ วันสุดท้าย ของการถือศีลอด ผู้ถือศีลอดจะเริ่มบริจาคทาน
(ซะกาต) ซึ่งมี ๒ ประเภท คือ ทานที่ผู้ถือศีลอดทุกคนต้องบริจาคด้วยการจ่ายปัจจัยที่เป็นอาหารสำหรับการบริโภคในประจำวันส่วนใหญ่นิยมใช้ข้าวสาร หรือเป็นเงินสดตามเกณฑ์ที่กำหนด อันเป็นทานบังคับที่จะทำให้การถือศีลอดครบถ้วนสมบูรณ์
รวมทั้งทานบริจาคที่สมัครใจให้กับผู้ยากไร้โดยไม่กำหนดจำนวน
ส่วนทานอีกประเภทหนึ่งคือทานทรัพย์สิน สำหรับผู้ที่มีทรัพย์สินคงเหลือในรอบปีที่ผ่านมาตามกำหนด
ให้กับผู้มีที่มีคุณสมบัติและสิทธิ์จะได้รับ เช่น คนยากจน เด็กกำพร้า เป็นต้น อันเป็นการจ่ายภาษีทางศาสนาซึ่งมีกฎเกณฑ์ที่แน่นอนหลีกเลี่ยงไม่ได้
โดยทั้งหมดต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้นก่อนการละหมาดสุนัตในวันอีฎิ้ลฟิตริ วันสิ้นสุดของการถือศีลอดคือวันที่
๑ ของเดือนถัดไป มุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้เรียกว่า วันรายอปอซอ
หรือรายอฟิตเราะห์ และจะมีการจัดกิจกรรมรื่นเริงตามประเพณี
การละหมาดสุนัตอีฎิ้ลฟิตริ เป็นอีกหนึ่งการปฏิบัติเสริมที่เพิ่มผลบุญของการถือศีลอด
โดยจะทำการละหมาดในตอนเช้าร่วมกันที่มัสยิด พร้อมกับการอ่านคุตบะห์หรือปาฐกถาธรรม
ย้ำเตือนการปฏิบัติให้อยู่หลักการอิสลาม ซึ่งประกอบด้วยหลักปฏิบัติ ๕ ประการ คือ
การปฏิญาณตนยอมรับอัลลอฮฺเป็นพระเจ้า และมูฮัมหมัด(ซ.ล.)เป็นศาสดา การละหมาดวันละ
๕ เวลา การถือศีลอด การบริจาคทาน และการเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์สำหรับผู้ที่มีความสามารถ
สำหรับการบริจาคทานหรือซะกาตเป็นข้อปฏิบัติที่ต่อเนื่องหลังจากการถือศีลอดและเผชิญกับความหิวอาหาร
ทำให้เข้าใจสภาพของผู้ยากไร้เกิดความเห็นอกเห็นใจ กลายเป็นผู้มีจิตเมตตา นำมาสู่การบริจาคแบ่งบัน
สร้างสังคมที่เอื้ออาทรสมานฉันท์และสันติสุขที่เป็นรูปธรรม
การถือศีลอดนอกจากเป็นการกระทำที่แสดงถึงศรัทธา
เกรงกลัว และซื่อสัตย์ต่อพระผู้เป็นเจ้าแล้ว
ยังส่งผลให้เกิดความซื่อสัตย์ต่อตนเองและผู้อื่น บังคับควบคุมตนเองให้มีวินัย อยู่ในความดีงาม
มีความเมตตา อันเป็นคุณธรรมที่พึงประสงค์ และเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อสังคมส่วนรวม
อีกทั้งยังเกิดประโยชน์ต่อตนเอง ทำให้ผู้ถือศีลอดมีสุขภาพที่ดี ปลอดภัยจากโรคภัยบางอย่างที่มาจากสารอาหารส่วนเกิน
ทั้งนี้เนื่องจากสารส่วนเกินจะถูกนำมาทดแทนความขาดแคลนระหว่างการถือศีลอด ส่วนการรับประทานผลอินทผลัม
ทำให้ร่างกายลดความอ่อนเพลียจากการอดอาหาร เนื่องจากมีสารบางอย่างที่ทำให้ร่างกายมีความสดชื่น
ซึ่งเพิ่งจะมีการค้นพบจากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์เมื่อไม่นาน ทั้งที่คัมภีร์อัลกุรอานได้กล่าวถึงเรื่องนี้มาแล้วกว่า
๑,๔๐๐ ปี เป็นหนึ่งในความมหัศจรรย์ของคัมภีร์ที่ทำให้นับวันมีผู้ศรัทธาเพิ่มมากขึ้น
จังหวัดชายแดนภาคใต้ประชาชนส่วนใหญ่ที่นับถือศาสนาอิสลาม
ต่างยึดมั่นปฏิบัติตนในหลักศาสนาอย่างเคร่งครัด ยิ่งปัจจุบันจะเห็นได้ชัดถึงการตื่นตัว
โดยเฉพาะในเดือนรอมฎอน จะเห็นได้ว่ามีพี่น้องมุสลิมเป็นจำนวนมากได้ให้ความสำคัญในห้วงเดือนอันประเสริฐนี้
ส่วนหนึ่งเกิดจากความก้าวหน้าทางการศึกษา ที่ทำให้ประชาชนมีความรู้ เกิดความศรัทธา
และเข้าใจในหลักปฏิบัติที่ถูกต้อง อีกทั้งนโยบายของรัฐบาลที่ส่งเสริมและ สนับสนุน
ให้ประชาชนที่นับถือศาสนาอิสลาม ให้สามารถปฏิบัติศาสนกิจได้อย่างเต็มที่ จึงเกิดเป็นแรงบันดาลใจและเพิ่มความศรัทธาให้เกิดการปฏิบัติอย่างกว้างขวาง
นับเป็นเทศกาลและวัฒนธรรมแห่งการทำความดีที่งอกงามมาจากหลักศาสนาอย่างที่เห็นในปัจจุบัน
อันจะเป็นหนทางนำไปสู่การสร้างความสันติสุขให้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืนต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น