ที่มา นสพ.มติชน ฉบับ 27 พ.ค.59
โดย ศูนย์ประชาสัมพันธ์ กอ.รมน.ภาค 4. สน.
นับเป็นครั้งที่
๓ ที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายภาค ๔ ส่วนหน้า ผู้นำศาสนา ประชาชน
และนักศึกษาในจังหวัดชายภาคใต้ ได้มีโอกาสต้อนรับการมาเยือนของคณะฮาบีบ อาลี
อาบอบัคร์ ชีค นักการศาสนาชาวเยเมน ผู้สืบเชื้อสายจากศาสดา นบี มูฮัมหมัด (ซ.ล.) ในโอกาสมาเยือนประเทศไทย
เพื่อพบปะแนะนำความรู้ด้านศาสนา สร้างความสัมพันธ์อันดีกับ อุลามาอฺ
หัวหน้าส่วนราชการ รวมทั้งปาฐกถาธรรมบรรยายศาสนาให้กับประชาชนและนักศึกษา
นับเป็นโอกาสอันดียิ่งต่อการสร้างสันติสุขในจังหวัดชายแดนใต้ในปัจจุบัน
การเดินทางเยือนพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
ครั้งแรกของนักการศาสนาอิสลาม มีขึ้นระหว่างวันที่ 25- 27 พฤศจิกายน
2557 โดย ฮาบีบอุมัร มูฮัมมัด ซาลิม บินฮาฟิซ ผู้ก่อตั้งสถาบันมุสตาฟาร์
ซึ่งสถาบันสอนศาสนาที่มีชื่อเสียงและยอมรับในโลกมุสลิม และเป็นผู้ที่ได้รับความศรัทธาจากมุสลิมทั่วโลก
ได้มาบรรยายธรรมให้ความกระจ่างในหลักศาสนาอิสลามอันบริสุทธิ์ ซึ่งกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค ๔
ส่วนหน้า ได้นำเนื้อหาการบรรยายบางตอนที่มีประโยชน์ต่อการแก้ไขปัญหาในพื้นที่
โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับก่อการร้าย ที่ผิดต่อหลักศาสนาไปเผยแพร่ผ่านสื่อต่างๆ อาทิ คำกล่าวของท่านฮาบีบในประเด็นการฆ่าผู้อื่น
แม้แต่คนต่างศาสนาก็ไม่สามารถฆ่าได้ ซึ่งพระเจ้าจะไม่ทรงอภัยอย่างเด็ดขาด หากแต่ พร้อมที่จะอภัยให้กับผู้ที่หลงผิดและกลับตัว
ซึ่งสอดคล้องนโยบายแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ตามแนวทางสันติวิธีที่ใช้ในปัจจุบัน
ส่วนการเยือนในครั้งที่
๒ เป็นการเดินทางมาเยือนของ ฮาบีบ
มูฮัมหมัด บินอับดุลเลาะห์ และฮาบีบ ฮูเซ็น บินอับดุลกาเดร์ ที่ได้รับมอบหมายจากฮาบีบอูมัร
มูฮัมมัดซาลิม บินฮาฟิช ระหว่างวันที่
๓ – ๖ พฤศจิกายน 2558 เพื่อพบปะกับอุลามาอฺในพื้นที่ และบรรยายศาสนาให้กับประชาชนในสถานที่ต่างๆ
โดยมีเนื้อหาที่สำคัญ คือเรื่องการอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรม ตามแบบอย่างการปฏิบัติของศาสดา
ที่ให้เกียรติและเคารพต่อผู้ที่มีความแตกต่าง อีกทั้งเน้นย้ำให้มุสลิมรักษาวัฒนธรรมกริยามารยาท
อดทนอดกลั้น รักสันติ รู้จักกตัญญูรู้คุณ และมีความเมตตาให้กับผู้คนทุกศาสนา นอกจากนี้
ยังได้กล่าวชื่นชมไปยังรัฐบาลไทย ว่าแม้ไม่ใช่รัฐบาลมุสลิม แต่กลับส่งเสริมกิจกรรมด้านศาสนา
และเปิดโอกาสให้ผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามสามารถปฏิบัติศาสนกิจได้อย่างเต็มที่ ส่วนการแก้ไขปัญหาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
ยังได้แนะนำให้พี่น้องมุสลิมร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ ในการแก้ไขปัญหา เพราะเจ้าหน้าที่เป็นผู้ที่ปฏิบัติงานตามกฎหมายและมีความเป็นธรรม
ล่าสุดเมื่อวันที่
๒ - ๖ พฤษภาคม ที่ผ่านมา เป็นการเดินทางลงพื้นที่เยือนจังหวัดชายแดนภาคใต้ ของ ฮาบีบ
อาลี อาบอบัคร์ ชีค ซึ่งนักการศาสนาท่านนี้
ได้ให้ความสำคัญกับการพบปะกับนักศึกษา โดยได้เดินทางไปยังสถาบันการศึกษาปอเนาะต่างๆ
ในพื้นที่ พร้อมเน้นย้ำให้ความรู้เกี่ยวกับการศึกษาคัมภีร์กุรอาน
โดยเฉพาะในด้านการแปลความหมาย ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
ที่สำคัญคือเพื่อเป็นการป้องกันความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนจากการบิดเบือนโดยผู้ไม่หวังดีเพื่อสร้างสถานการณ์อย่างที่แล้วมา
ย้อนกลับไปในอดีต
เมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๗ ภายหลังจากเกิดเหตุการณ์ความรุนแรง ที่ มัสยิดกรือเซะ
จังหวัดปัตตานี ได้มีการค้นพบเอกสารชื่อ “เบอร์ญิฮาดดิปัตตานี” ซึ่งเอกสารดังกล่าวได้มีการนำคำว่า
“ญิฮาด” มาแปลความหมายในเชิงบิดเบือน ว่าเป็นการต่อสู้กับคนต่างศาสนา
และได้ขยายความอีกว่า แม้คนศาสนาเดียวกันหรือญาติพี่น้อง
ถ้าหันเหออกจากอุดมการณ์ก็สามารถที่จะฆ่าได้
ทำให้คนส่วนหนึ่งหลงเชื่อและถูกนำเข้าสู่กระบวนการทำพิธี “ซุมเปาะห์” และชักนำให้เข้าร่วมปฏิบัติการก่อเหตุร้าย
จนกระทั่งสถานการณ์ลุกลามขยายวงกว้าง มีผู้ได้รับผลกระทบเป็นจำนวนมาก จากนั้นไม่นาน
สำนักจุฬาราชมนตรี ได้นำประเด็นหลักศาสนาที่ถูกบิดเบือนของเอกสารดังกล่าว มาแก้ไขความหมายและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง
เป็นผลให้ผู้ร่วมก่อเหตุรุนแรงหลายรายมีความเข้าใจและถอนตัวออกจากกลุ่มขบวนการมากขึ้น
ซึ่งปัจจุบันการใช้หลักศาสนามาบิดเบือน และนำมาเป็นเงื่อนไขลดน้อยลง
เรื่องศาสนาเป็นอีกมิติหนึ่งของปัญหา
ที่ทำให้ปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ลุกลามขยายวงกว้างเนื่องจากการบิดเบือนกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ
และเป็นสิ่งสำคัญที่ใช้ในการแก้ไขโดยอาศัยข้อเท็จจริงมาหักล้าง
ซึ่งต้องอาศัยบุคคลที่มีความน่าเชื่อถือและศรัทธา ซึ่งการเดินทางมาเยือนพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
ของนักการศาสนาที่มีชื่อเสียง อีกทั้งมีเชื้อสายสืบทอดไปถึงท่านศาสดาในหลายครั้ง
ทำให้สามารถนำคำแนะนำและการบรรยายธรรมของ ฮาบีบ เหล่านี้ไปแก้ไขปัญหาการบิดเบือนศาสนาได้อย่างเป็นรูปธรรม
การเดินทางของคณะฮาบีบจากประเทศเยเมน
ทั้ง ๓ ครั้ง ที่ผ่านมา
นอกจากนำความกระจ่างในหลักศาสนาอิสลามให้กับพี่น้องมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้แล้ว
ยังทำให้คณะผู้เดินทางได้รับทราบนโยบายของรัฐบาลไทย ที่มีต่อพี่น้องชาวมุสลิม ที่ได้ดูแลสิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนาและการปฏิบัติศาสนกิจ
ตลอดจนการส่งเสริมกิจกรรรมศาสนาในทุกด้าน ยากที่จะหาประเทศใดมาเทียบได้
และทุกครั้งที่มาเยือน ทุกคณะได้มีโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค
๔ พร้อมรับฟังการบรรยายสรุป
แนวทางและนโยบายในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของภาครัฐ ซึ่งสร้างความพึงพอใจให้กับทุกคณะที่มาเยือน
อีกทั้งได้กล่าวชื่นชมในอัธยาศัยไมตรีในการต้อนรับ และรับที่จะนำความประทับใจเหล่านี้บอกเล่าไปยังประเทศอื่นๆ
ซึ่งจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทยต่อมุสลิมโลก และสายตานานาชาติต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น